เดววันที่ 16 สิงหา นี้ทางอำเภอพานเขาจะรับบริจาคเลือด ที่หลังที่ว่าการอำเภอพาน ใครว่างก็ไปกันนะ
จำได้ครั้งแรกที่บริจาคคือ ตอนปีสาม อาจารย์บอกว่า ใครไปบริจาคเลือดผมให้คะแนนอีก 5 คะแนนดิบ ฟรีๆเลย เอ้าหูผึ่งเลย วิชาประมวลภาพ คะแนนยิ่งน้อยๆอยู่ ห้าคะแนนฟรีก็น่าสนใจ ครั้งนั้นทางโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เข้ามารับบริจาคให้มหาลัยเลย
ซึ่งผู้บริจาคเลือดได้ต้อง
บลาๆๆๆ ยาวๆไปเลย เอาที่สำคัญคือ
- นอนเพียงพอประมาณ 8 ชั่วโมง
- ภายใน 7 วันนี้ไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ ไม่ดื่มเหล้า
- กินข้าวมาแล้ว
- ไม่เป็นโรคติดต่อ
จำได้ครั้งแรกที่บริจาคคือ ตอนปีสาม อาจารย์บอกว่า ใครไปบริจาคเลือดผมให้คะแนนอีก 5 คะแนนดิบ ฟรีๆเลย เอ้าหูผึ่งเลย วิชาประมวลภาพ คะแนนยิ่งน้อยๆอยู่ ห้าคะแนนฟรีก็น่าสนใจ ครั้งนั้นทางโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เข้ามารับบริจาคให้มหาลัยเลย
ซึ่งผู้บริจาคเลือดได้ต้อง
คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
1. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ผู้ที่มีอายุ 17 ปี ไม่ถึง 18 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
2. ผู้บริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก ถ้าอายุเกิน 55 ปี - 60 ปี และให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ และ พยาบาล
3. ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 60 ปี - 70 ปี แบ่งเกณฑ์การคัดเลือกตามาอายุ 2 ช่วง ดังนี้
3.1 การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตอายมากกว่า 60 จนถึง 65 ปี
1) เป็นผู้บริจาคโลหิตประจำมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุ 60 ปี
2) บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง คือทุก 4 เดือน
3) ตรวจ Complete Blood Count ( CBC ) , Serum Ferritin ( SF ) ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประกอบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทั่วไป และสำหรับแพทย์ใช้ผลการตรวจ SF ในการติดตามและปรับการให้ธาตุเหล็กทอดแทน
3.2 ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 65 ปี จนถึง 70 ปี
1) เป็นผู้บริจาคโลหิตต่อเนื่องสม่ำเสมอในช่วงอายุ มากกว่า 60 ปี จนถึง 65 ปี
2) บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง คือ ทุก 6 เดือน
3) ต้องได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพโดยแพทย์ หรือพยาบาลของธนาคารเลือดหรือหน่วยงานรับบริจาคโลหิตซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจคัดกรองสุขภาพผู้บริจาคโลหิต
4) ตรวจ CBC และ SF ปีละ 1 ครั้ง
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในเวลาปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่มาบริจาคโลหิต
5. ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ใน 7 วันที่ผ่านมา
6. ไม่อยู่ในช่วงน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วในระยะ 3 เดือนที่ผานมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
7. สตรีไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือน ที่ผ่านมา
8.น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ
9. หากรับประทานยาแอสไพริน, ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดอื่นๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 3 วัน ถ้าเป็นยาแก้อักเสบหรือยาอื่นๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 7 วัน
9. ไม่เป็นโรคหอบหืด, ผิวหนังเรื้อรัง, วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่นๆ
10. ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ, ตับ, ไต, มะเร็ง, ไทรอยด์,โลหิตออกง่าย-หยุดยาก หรือโรคประจำตัวอื่นๆ
11. หากถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนหรือรักษารากฟัน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน
12. หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเกิน 6 เดือน, ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 7 วัน
13.ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์
14. ต้องไม่มีประวัติยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ ต้องเกิน 3 ปี และมีสุขภาพดี
15. หากเจาะหู, สัก, ลบรอยสักหรือฝังเข็มในการรักษา ต้องเกิน 1 ปี
16.หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตของผู้อื่น ต้องเกิน 1 ปี
17. หากมีประวัติเป็นมาเลเรีย ถ้าเคยเป็นต้องหายมาแล้วเกิน 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุม ต้องทิ้งระยะอย่างน้อยเกิน 1 ปี จึงบริจาคโลหิตได้
18. ต้องไม่ได้รับวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือเซรุ่มในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมา
19. ก่อนบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวข้าวหมู ของทอด ของหวาน แกงกะทิต่างๆ
บลาๆๆๆ ยาวๆไปเลย เอาที่สำคัญคือ
- นอนเพียงพอประมาณ 8 ชั่วโมง
- ภายใน 7 วันนี้ไม่ใช้ยาปฎิชีวนะ ไม่ดื่มเหล้า
- กินข้าวมาแล้ว
- ไม่เป็นโรคติดต่อ
เทคนิคในการเจาะเลือดที่คุณควรรู้คือ
-ถ้าคุณถนัดแขนข้างไหน อย่าเจาะข้างนั้น เดวเจ็บทำงานไม่ได้อีก
- เตรียมหาที่นอนไว้ด้วย เพราะว่าวันที่เอาเลือดออกนั้น มันจะไม่ค่อยมีแรง ง่วง แต่ถ้าได้นอนพักก็จะดีเอง
- อย่าให้พยาบาลสาวๆเจาะเด็ดขาด พวกนี้มือหนักมาก จะให้ดีคือ ให้คนแก่ๆที่มากประสบการณ์เจาะจะไม่่ค่อยเจ็บมาก
ส่วนถ้าคุณอยากรู้ว่า บริจาคเลือดไปแล้วมันจะดียังไง
- เป็นการตรวจโรคทางอ้อม เพราะถ้าทางโรงพยาบาลจะเอาเลือดไปใช้ เขาต้องตรวจก่อน ถ้าเราเป็นอะไรก็จะรู้ตอนนั้นล่ะ
- จะรู้สึกสดชื่นขึ้น จากที่เคยล้าๆ จะรู้สึกดีขึ้นมากๆ แปลกๆดี แต่ทางการแพทย์เขาบอกว่า เม็ดเลือดสร้างตัวใหม่ เลยรู้สึกดีขึ้น
และมีอีกเยอะ ไปอ่านเลย
ข้อดีของการบริจาคเลือดมีดังนี้
- เสมือนได้รับการตรวจสุขภาพร่างกาย เพราะคุณจะบริจาคเลือดได้ก็ต่อเมื่อร่างกายสุขภาพแข็งแรง ซึ่งคุณต้องกรอกแบบสอบถาม และตรวจเลือดก่อนบริจาค เนื่องจากเลือดที่ได้รับบริจาคต้องไม่เป็นโรคร้ายแรง บางคนอาจจะพบว่าตัวเองเป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งไม่สามารถบริจาคเลือดได้นะคะ เมื่อคุณรู้ว่าสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงจะได้ดูแลตัวเองมากขึ้นไงคะ
- บางคนเข้าใจผิดว่าการบริจาคเลือดจะทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากส่งผลร้ายต่อสุขภาพของตนเอง คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างยิ่งคะ ถ้าคุณบริจาคเลือดตามกำหนดระยะเวลาที่สภากาชาดกำหนดไว้แล้ว คุณจะมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น เพราะเลือดที่บริจาคออกไปเป็นเลือดส่วนเกินของร่างกายค่ะ หรือประมาณ 7% ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย โดยก่อนจะบริจาคจะมีการพิจารณาจากน้ำหนักตัวของผู้ให้บริจาคก่อน ดังนั้นเลือดที่เสียไปจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาแทน ระบบไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรมตามมาคะ
- คุณไม่ต้องกลัวว่าบริจาคเลือดแล้วจะทำให้คุณอ้วน แต่มันกลับทำให้คุณมีรูปร่างที่ดีขึ้น ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้หน้าใสขึ้นด้วยนะคะ
- การบริจาคเลือดช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้หลายชนิดเลยคะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าในรายที่มีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป มีผลต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหรือมะเร็งบางชนิด การบริจาคเลือดจะช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินเหล่านั้นออกไปได้
- เมื่อเลือดที่เราบริจาคเลือดไปแล้วถูกใช้ คุณจะได้รับ sms แจ้งเตือน มันจะทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นคะ
- ได้รับสิทธิพิเศษที่คนทั่วไปไม่เคยทราบเลยคะ นั้นคือ
- ผู้บริจาคโลหิต 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้ไม่เกินร้อยละ50
- ผู้บริจาคโลหิต 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เชน ตรวจหาน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับ การทำงานของไต เป็นต้น
- ผู้บริจาคโลหติ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล+ ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
- ผู้บริจาคโลหิต 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
- ผู้บริจาคโลหิต 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ “ขอพระราชทานเพลิงศพ” ได้เป็นกรณีพิเศษ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ไปบริจาคเลือดกันเยอะๆนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น